วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551

นอนอย่างไรให้สวย...

  • เปลี่ยนจากปลอกหมอนผ้าฝ้าย มาใช้ชนิดที่ทำจากผ้าซาตินแทน เพราะเวลาใบหน้ากดทับลงไปตอนนอนตะแคงทั้งคืน จะได้ไม่ทำให้ใบหน้าเป็นรอยยับ
  • ปิดไฟให้สนิท เนื่องจากความมืดจะช่วยทำให้จิตใจสงบ และนอนหลับสนิทได้มากขึ้น
  • การสวดมนต์ไหว้พระแบบไทย ๆ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้จิตใจสงบ และเข้าสู่ภวังค์ได้อย่างดี
  • ไม่ดื่มชา กาแฟ หรือแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
  • ไม่กินของเค็มและดื่มน้ำมากเกินไปก่อนนอน และพยายามนอนหงายให้ศีรษะสูงกว่าลำตัว เพื่อที่หน้าจะได้ไม่บวมตอนตื่นนอน


วิธีป้องกันตัวเอง เมื่อเข้าห้องน้ำสาธารณะ

สะกิดเอาเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆ เกี่ยวกับเรื่องเข้าห้องน้ำสาธารณะมาฝาก

  • ถ้าต้องเดินเข้าไปห้องน้ำคนเดียว ควรระมัดระวังตัว และสังเกตสิ่งรอบข้าง เพราะคนร้าย มักจะคอยซุ่ม ดูคุณอยู่ในจุดที่สามารถซ่อนตัวได้ หรือยากต่อการสังเกตเห็น โดยคนร้าย จะเลือกเหยื่อที่เหมาะ แล้วเข้าโจมตีและจัดการให้เร็วที่สุด
  • ขณะที่กำลังเดินเข้าไปในห้องน้ำ คอยฟังเสียงฝีเท้า หรือเสียงลากเท้าบนพื้น เพราะนั่น อาจเป็นเสียงที่ใครบางคน กำลังจับตาดูคุณอยู่ และอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมโจมตี นอกจากนี้ ควรสังเกตเงาบนผนัง หรือบนพื้น ของคนที่เคลื่อนไหวและหยุดนิ่ง ซึ่งนั่นอาจเป็นเงาของคนร้าย
  • ตามธรรมชาติของมนุษย์ เรามักต้องการความเป็นส่วนตัว (ในกรณีที่มีหลายห้อง) ซึ่งคนร้ายเอง ก็มักซุ่มแอบอยู่ในห้องน้ำห้องในสุด เช่นกัน ดังนั้น หากจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำ ควรเลือกห้อง ที่อยู่ใกล้ประตูทางออกที่สุด หรือห้องแรกๆ ซึ่งหากเกิดภัยอันตรายขึ้นมา บุคคลภายนอก ที่ผ่านไปมา สามารถได้ยินเสียงหรือเสียงร้องของคุณได้
  • ที่สำคัญ ต้องระมัดตัวเอง ให้มากที่สุด

มะเร็งร้ายจากเรื่องนิดเดียว

ศูนย์ศึกษาโรคมะเร็งจอห์น ฮ็อบกิ้นส์ พบแล้วว่า สาเหตุที่ร่างกายของได้รับสารก่อมะเร็งนั้นสามารถเกิดจาก  
1.   การดื่มน้ำ ขวด พลาสติก ที่แช่ในช่องฟรีซในตู้เย็น
2.   การใช้ พลาสติกคลุมอาหาร เพื่ออุ่นในเตาไมโครเวฟ
3.   รวมถึงการใช้ ถุงพลาสติกใส่อาหาร เพื่ออุ่นกับเตาไมโครเวฟ
4.   การใช้ วัสดุ โฟม ใส่อาหารที่ร้อนและมัน
เนื่องจาก สารพิษจากพลาสติก สามารถละลายออกแล้วไหลปนเปื้อนกับอาหารที่เรารับประทานได้โดยตรง ทำให้เกิดโรคมะเร็งทรวงอก มะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่  

อย่า “ดื่มชา” อย่างบ้าคลั่ง

คุณทราบไหมว่า ในปีหนึ่งๆ คนไทยบริโภคน้ำตาลเกินปริมาณที่องค์การอนามัยโลกกำหนด 4-5 เท่า โดยกำหนดไว้ที่ปริมาณ 6 ช้อนชาต่อวัน แต่คนไทยกินมากกว่าถึง 18-20 ช้อนชาต่อวัน

          ยิ่งในช่วงกระแสคลั่ง "น้ำชา" กำลังรุนแรง จะชาเขียว ชาขาว หรือชาอะไรก็ช่าง ในขวดชาพร้อมดื่มทั้งหลายที่ประเดประดังมาหลอกล่อเราอยู่นี้ มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากปัญหาเรื่อง "น้ำตาล" ที่มากับชาพร้อมดื่มทั้งหลายแล้ว ยังมีข้อพึงระวังในการดื่มชาที่สำคัญ ได้แก่

          ไม่ควรดื่มชาขณะกินยา เพราะสารต่างๆ ในน้ำชาอาจทำปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ต่อยาที่กินเข้าไป อาจทำให้คุณสมบัติของยาเจือจางหรือเสื่อมสภาพลง หรือขั้นร้ายแรงอาจกลายเป็นสารพิษได้ ถ้าหากอยากดื่มควร ดื่มก่อนหรือหลังทานยาประมาณ 2 ชั่วโมง

          ไม่ควรดื่มชาก่อนนอน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน สตรีมีครรภ์ คนชรา และเด็กเล็ก

          ไม่ควรดื่มชาร้อนจัด เพราะการดื่มของร้อนจัดมีผลข้างเคียงต่อช่องปาก ลำคอ ลำไส้ได้ อาจทำให้เนื้อบางส่วนในช่องปากตาย และอาจเป็นต้นเหตุกระตุ้นเซลล์มะเร็งได้

          ผู้ที่ไตทำงานบกพร่องหรือมีอาการไตวาย ไม่ควรดื่มน้ำชามาก เพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อยและไตต้องทำงานหนักขึ้น ขณะที่ประสิทธิภาพของไตยังทำงานได้ไม่เต็มที่

          เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ไม่ควรดื่มน้ำชา เพราะกรดแทนนิก เมื่อรวมตัวกับธาตุเหล็กในกระเพาะอาหารและลำไส้จะกลายเป็นสารที่ไม่สามารถละลายได้ ทำให้เด็กเล็กไม่เติบโต มีอาการขาดธาตุเหล็กและเป็นโรคโลหิตจางได้

          ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ ผู้ป่วยที่หลอดเลือดแดงใหญ่ในหัวใจอุดตันไม่ควรดื่มน้ำชาเข้มข้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายถูกกระตุ้นมากเกินไป หากความดันโลหิตขึ้นสูงมาก หรือหัวใจถูกกระตุ้นมากเกินขีดจะเป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างรวดเร็วฉับพลัน

          ผู้ที่มีไข้สูง ไม่ควรดื่มน้ำชา เพราะด่างในน้ำชาจะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น จึงยิ่งทำให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้น กรดแทนนิกในน้ำชายังส่งผลให้ร่างกายขับเหงื่อออกมาได้น้อยกว่าปกติ ทำให้ระบบการขับเหงื่อของร่างกายทำงานบกพร่อง

How prune can help?

ลูกพรุนแก้ท้องผูกได้อย่างไร

ท้องผูกเป็นอาการที่ไม่พึงประสงค์สำหรับทุกๆ คน การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้งร่วมกับการดื่มน้ำมากๆ รวมทั้งพยายามเคลื่อนไหวร่างการย่อยๆ จะสามารถป้องกันภาวะท้องผูกได้ การรับประทานลูกพรุนก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ง่ายและอร่อย เนื่องจากช่วยเพิ่มปริมาณเส้นใยในอาหารได้ เพราะลูกพรุนเพียง 5 ลูก ก็ให้เส้นใย 3 กรัมแล้ว ปกติในแต่ละวันเราควรได้รับเส้นใยอาหาร 25-35 กรัม

หลายคนอาจกังวลว่าลูกพรุนเป็นผลไม้แห้งจึงอาจมีแคลอรีสูง ลูกพรุน 5 ลูกให้พลังงานทั้งสิ้น 100 แคลอรี อาจสูงกว่าผลไม้สดบ้างนิดหน่อย แต่การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูงนั้นมี ข้อดีอีกอย่างคือทำให้อิ่มเร็วและอิ่มนาน นอกจากนี้ยังจะช่วยลดการกินเกินและโอกาสที่จะได้รับแคลอรีเกินอีกต่างหาก

นอกจากเส้นใยอาหารแล้วลูกพรุนยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียมที่ช่วยลดความดันโลหิต และเป็นแหล่งของสารฟลาโวนอล ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีชนิดหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ จึงจัดได้ว่าลูกพรุนเป็นอาหารฟังก์ชันที่ให้คุณค่ามากกว่าสารอาหารพื้นฐานทั่วไป

ลูกพรุนนั้นเพียงรับประทานเปล่าๆ ก็อร่อยแล้ว แต่ถ้าจะลองใส่ลงในข้าวโอ๊ตต้ม รับประทานกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ทำซอสลูกพรุนราดบนหมูอบ หรือจะรับประทานเป็นอาหารว่างคู่กับถั่วพิสทาชิโอก็ได้ การมีสูขภาพดีจากภายในโดยเลือกรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงทุกๆ วัน ย่อมส่งผลให้มีสุขภาพดีภายนอกอย่างแน่นอน